เนยถั่ว คืออะไร?


โดยวิธีการทำเนยถั่วนั้น มีเพียงแค่ส่วนประกอบเดียวคือ ถั่วลิสงคั่วเอามาบดจนเป็นเนื้อละเอียดหรือเนื้อหยาบตามความชอบ แต่อาจจะมีการเพิ่มเติม น้ำมันพืช ไขมันพืช หรือน้ำตาล ลงไป เพื่อปรับรสชาติและให้รูปลักษณ์ตามที่ต้องการ


ซึ่งเอาจริงๆแล้ว เนยถั่วเนี่ยเป็นแหล่งพลังงานที่ดี รวมไปถึงมีคุณค่าทาสารอาหารหลักๆอย่างๆ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต โดยเนยถั่ว 100 กรัม* มี

·        โปรตีน 22.5 กรัม (14% ของแคลอรี่) ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะเลยสำหรับอาหารจากพืชชนิดอื่นๆ

·        ไขมัน 51 กรัม ประมาณ 72% ของแคลอรี่

·        คาร์โบไฮเดรต 22 กรัม (14% ของแคลอรี่) โดยในนี้มีไฟเบอร์นี้อยู่ 5 กรัม

·        วิตามินอี 60% ของปริมาณที่ต้องได้รับต่อวัน ( Daily value, DV)

·        วิตามินบี 6 29% ของ DV

·        โฟเลท 18% ของ DV

·        ทองแดง 56% ของ DV

·        แมงกานีส 65% ของ DV


นอกจากโปรตีนจะสูงแล้ว ปริมาณคาร์โบไฮเดรตถือว่าค่อนข้างน้อย โดยเนยถั่ว100% นั้นมีคาร์โบไฮเดรต 20% ซึ่งเหมาะกับผู้ที่รับประทานอาหารแบบคาร์บต่ำ หรือที่เรียกว่า low carb diet แถมยังทำให้น้ำตาลในร่างกายขึ้นช้าลงด้วย เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานแบบ 2 (Type 2 Diabetes)**


ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เนยถั่วเป็นทางเลือกสำหรับใครก็ตามที่มองหาแหล่งโปรตีนดีๆ ทานแล้วได้ประโยชน์ ต้องมาลอง Mash Peanut Butter ที่มีทั้งแบบบดละเอียดและบดหยาบ และมีปริมาณถั่วลิสงสูงถึง 90% ไม่ว่าจะทานคู่ขนมปังปิ้งร้อนๆตอนเช้า หรือจะเอาไปปั่นทำสมูธตี้เพิ่มปริมาณโปรตีนหลังออกกำลังกายก็เหมาะทีเดียวค่ะ


ราคาก็น่ารัก เพียงกระปุกละ 89 บาท (ปริมาณ 340 กรัม) หาซื้อได้ที่ Tops, Lotus’s, BigC, Gourmet, Makro, Villa, CJ, Rimping หรือสามารถสั่งออนไลน์ได้ที่ https://linktr.ee/cotradingth


* FoodData Central (usda.gov)

**The Effect of Added Peanut Butter on the Glycemic Response to a High-Glycemic Index Meal: A Pilot Study - PubMed (nih.gov)

10 เหตุผลที่เราควรทานป๊อปคอร์น

ป๊อปคอร์น (Popcorn) หรือ ข้าวโพดคั่ว คือของว่างหรือขนมขบเคี้ยวที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และน่าจะเป็นหนึ่งในอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย เพราะมนุษย์รู้จักการปลูกข้าวโพดมาตั้งแต่ 10,000 ปีที่แล้ว นักโบราณคดีเคยค้นพบหลักฐานว่ามนุษย์รู้จักการทำข้าวโพดคั่วมาเป็นพันปีแล้ว มีหลักฐานเป็นฟอสซิลในเปรู บ่งบอกว่ามนุษย์ค้นพบวิธีทำเมล็ดข้าวโพดให้ “ป๊อป” หรือแตกออกด้วยความร้อนมาตั้งแต่ 4,700 ปีก่อนคริสตกาล จวบจนเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 มนุษย์เริ่มทำป๊อปคอร์นด้วยการวางเมล็ดข้าวโพดบนเตา แต่ยุคก่อนนั้นยังไม่มีการเรียกชื่อเฉพาะของอาหารประเภทนี้ เริ่มมีการบัญญัติคำว่า Pop เข้ามาในพจนานุกรมเพื่อชาวอเมริกันของ จอห์น รัสเซล เมื่อปี 1848

ปัจจุบันป๊อปคอร์น กลายเป็นของว่างที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก สามารถทานได้ทุกโอกาส เพราะปัจจุบันก็ทำได้สะดวกมาก แค่เอาใส่ไมโครเวฟไม่กี่นาทีก็อร่อยได้แล้ว ตามด้วยความอร่อยและกินเพลินจนหยุดไม่ได้ของเจ้าป๊อปคอร์นนี่แหละ ที่ทำให้ผู้บริโภคบางท่านเกิดความกังวลว่า ฉันกินมากเกินไปจะทำให้อ้วนไหม มีคอเลสเตอรอลหรือเปล่า ควรกินบ่อยแค่ไหนดี ไม่ต้องกังวลกันมากเกินไปครับ นักโภชนาการยืนยันแล้วว่าในจำนวนขนมขบเคี้ยวทั้งหมดนั้น ต้องถือว่าป๊อปคอร์นนี้แหละถือว่ามีคุณประโยชน์ เต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่สุดแล้ว แต่อย่าไรก็ตามอาหารทุกอย่างก็ควรบริโภคแต่พอดี บทความนี้จะพาคุณๆ รู้จักข้อดีของป๊อปคอร์นให้มากขึ้นเพื่อความสบายใจในการจกถังป๊อปคอร์นกันครั้งต่อไปครับ

 

1.     ป๊อปคอร์น เป็นขนมขบเคี้ยวที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย

การคั่วแบบแห้ง (dry-popping process) เป็นการให้ความร้อนด้วยลมร้อนซึ่งจะทำให้ความชื้นในเมล็ดข้าวโพดกลายเป็นไอซึ่งจะดันเมล็ดให้แตกและขยายตัวออก ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้ข้าวโพดสุกในเวลาต่อมา แล้วจึงคลุกเคล้าด้วยน้ำมันและเกลือ หรือเครื่องปรุงรสชนิดอื่น ฉะนั้นป๊อปคอร์นที่ได้จากการคั่วแบบแห้งนั้นจะไม่มีไขมันที่ทำให้เราอ้วน

2.     ป๊อปคอร์นให้แคลอรี่ที่น้อยมาก

ป๊อปคอร์นที่ให้คุณประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากที่สุดคือป๊อปคอร์นที่คั่วแบบแห้ง หรือการใช้ลมร้อน จะให้พลังงานที่ 30 แคลอรี่ต่อการบริโภค 1 ถ้วย (128 กรัม) ที่สหรัฐฯ มีการสำรวจเมื่อปี 2020 ว่าป๊อปคอร์นในขนาดกลาง 105 Oz.(2,976 กรัม) และขนาดใหญ่ 170 Oz.(4,819 กรัม) จะให้พลังงานที่ 1,200 แคลอรี และให้ปริมาณไขมันอิ่มตัวอยู่ที่ 60 กรัม เพราะมีส่วนผสมของเนยและสารปรุงแต่งรสอยู่ในปริมาณมาก การทำป๊อปคอร์นกินเองที่บ้านด้วยไมโครเวฟ จึงจะได้ป๊อปคอร์นที่ได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่า

3.     ป๊อปคอร์นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าผักและผลไม้เสียอีก

เมื่อปี 2019 มีการสำรวจและเผยแพร่ในวารสารเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) พบว่าในป๊อปคอร์นนั้นเปี่ยมไปด้วยสารโพลีฟีนอล (polyphenol) เป็นกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจำนวนมาก พบมากในพืชผัก มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอสิระ และลดการอักเสบ ผื่นคัน ในการบริโภคป๊อปคอร์น 1 ครั้งนั้น เราจะได้รับสารโพลีฟีนอลในปริมาณ 300 มิลลิกรัม

4.     ป๊อปคอร์นช่วยยับยั้งมะเร็งได้อีกด้วย

อีกหนึ่งคุณประโยชน์ของสารโพลีฟีนอลที่มีมากในป๊อปคอร์นก็คือ ช่วยสกัดกั้นเอนไซม์ (คือกลุ่มโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์สิ่งมีชีวิต พบได้ทั้งในพืช สัตว์ และจุลินทรีย์) ที่จะไปช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ในการนี้ สมาคมการวิจัยเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง (American Institute for Cancer Research) ได้เสนอแนะว่าการควบคุมมะเร็งที่ง่ายสุดและทำกันมาช้านานแล้วก็คือการบริโภคผักและผลไม้ ซึ่งวันนี้ก็ต้องเพิ่มอีก 1 ทางเลือกเข้าไปนั่นก็คือ การบริโภคป๊อปคอร์น ที่เปี่ยมไปด้วยโพลีฟีนอล ซึ่งแถมมาด้วยผลพวงพิเศษอื่น ๆ อีกเช่นป้องกันการอักเสบ และลดการก่อตัวของคราบพลัค และยังช่วยเลี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย (cardiovascular disease)

5.     ได้สารอาหารจาก ธัญพืชเต็มเมล็ด (Whole grain)

“โฮลเกรน” (Whole grain) คือธัญพืชเต็มเมล็ดที่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าสารอาหารอย่างครบถ้วน การบริโภคป๊อปคอร์นนั้นเท่ากับเราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนจากธัญพืชเต็มเมล็ดที่ยังไม่ผ่านการปรับแต่ง การทานป๊อปคอร์นที่เสิร์ฟมาในขนาดเล็กนั่นก็เท่ากับเราได้รับ 70% ของปริมาณโฮลเกรนที่ควรบริโภคต่อวันแล้ว ฉะนั้นการทานป๊อปคอร์นก็คือเพิ่มปริมาณใยอาหารเข้าร่างกายที่ง่ายและเพลิดเพลินวิธีหนึ่ง

6.     ป๊อปคอร์นช่วยบรรเทาอาการท้องผูก

อย่างที่กล่าวไปว่า ป๊อปคอร์นคือธัญพืชเต็มเมล็ด (Whole grain) และอีกคุณสมบัติหนึ่งของโฮลเกรนก็คือ ใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (Insoluble Fiber) ซึ่งมีส่วนช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานปรกติ และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการท้องผูก การทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงจะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ราบรื่นเป็นปรกติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration)เองก็ทราบถึงคุณประโยชน์ข้อนี้ดีว่า ป๊อปคอร์นนั้นเป็นขนมขบเคี้ยวที่มีผลดีต่อสุขภาพของระบบย่อยอาหารของมนุษย์เรา

7.     ป๊อปคอร์นเป็นช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี

นั่นก็เพราะว่าป๊อปคอร์นเป็นอาหารที่เส้นใยอาหารจำนวนมาก อาหารประเภทนี้จะใช้เวลาในการย่อยมากกว่าอาหารประเภทที่มีเส้นใยน้อย นั่นแปลว่าเมื่อเรารับประทานไปแล้วจะอิ่มได้นานขึ้น สำหรับคนที่อยากควบคุมน้ำหนักจึงแนะนำให้ทานป๊อปคอร์นที่คั่วด้วยลมร้อน และไม่ต้องเติมเนยหรือเกลือ ในระหว่างมื้ออาหาร จะทำให้เรามีความอยากทานของหวานหรือไขมันลดน้อยลง

8.     คนที่เป็นเบาหวานก็ทานได้สบายใจ

วารสารทางวิชาการได้เผยผลการค้นคว้าไว้ในปี 2015 ว่า ป๊อปคอร์นเป็นอาหารประเภทที่มีเส้นใย ถึงแม้ว่าจะจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับคาร์โบไฮเดรตก็ตาม แต่ก็ไม่ไปเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดเหมือนอย่างกับ ขนมปังขัดสี นั่นก็เพราะว่าป๊อปคอร์นเป็นอาหารที่มีเส้นใยจำนวนมากจึงไม่มีส่วนประกอบของ คาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมไปใช้ได้ (Digestible carbohydrate) ในจำนวนมากนัก ป๊อปคอร์นจึงช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ช้าลง ซึ่งจะส่งผลให้มีการปรับปริมาณน้ำตาลในเลือดให้สมดุลหรือช่วยลดปริมาณน้ำตาลลงอีกด้วย

9.     เพิ่มรสชาติให้ป๊อปคอร์นได้หลากหลาย

ตัวป๊อปคอร์นเองไม่ได้ให้แคลอรี่ที่สูง และไม่มีไขมันที่ทำให้อ้วน แต่มาจากเนยที่ใช้คั่วป๊อปคอร์นต่างหาก เราก็แค่เปลี่ยนการปรุงรสชาติจากเนยและเกลือ เป็นรสชาติอื่น ๆ แทน ซึ่งมีอีกหลากหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น อบเชย (cinnamon), ผงเครื่องเทศ apple pie spice หรือจะไปแนวเผ็ดร้อนก็อย่างเช่น วาซาบิ, หม่าล่า หรือผงกะหรี่ หรือจะลองคิดค้นรสชาติใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง จากเครื่องปรุงต่าง ๆ ในครัวบ้านเราเอง

10.  ป๊อปคอร์นมีธาตุเหล็กมากกว่าผักโขมเสียอีก

ในป๊อปคอร์นที่ปริมาณ 28 กรัม นั้น จะให้ปริมาณธาตุเหล็กอยู่ที่ 0.9 มิลลิกรัม ในขณะที่ผักโขมจะให้ปริมาณธาตุเหล็กที่ 0.8 มิลลิกรัม แม้ว่าตัวเลขจะต่างกันเพียงนิดเดียว แต่ถ้าเทียบกับปริมาณธาตุเหล็ก ที่ผู้ใหญ่เพศชายต้องการต่อวันก็อยู่ที่ 8 มิลลิกรัมเท่านั้นเอง ต่างกับผู้หญิงที่ต้องการธาตุเหล็กต่อวันสูงถึง 18 มิลลิกรัม นั่นเพราะพวกเธอเสียเลือดไปมากในช่วงที่มีประจำเดือน เกือบ 10% ของหญิงทั่วโลกจึงอยู่ในภาวะที่ขาดธาตุเหล็ก ป๊อปคอร์นจึงเป็นอีก 1 ทางเลือกที่ง่าย อร่อย และสะดวกในการเพิ่มธาตุเหล็ก

Mr-Bop Microwave Popcorn ป๊อปคอร์นคุณภาพนำเข้าจากประเทศสเปน มี 3 รสชาติให้เลือกได้เลยตามใจชอบ ได้แก่ เค็ม, เนย, และ เนยเข้มข้น เหมาะมากที่จะทานเป็นขนมระหว่างดูซีรี่ย์ Netflix เพลินๆ หรือเป็นขนมยามบ่ายระหว่างทำงาน ปริมาณจุใจยิ่งแบ่งกันทานกับทั้งครอบครัวหรือกับเพื่อนยิ่งอร่อยกว่าเดิม มิสเตอร์บ๊อพทั้ง 3 รสชาติ ราคาโดนใจกล่องละ 99 บาท (1 กล่องมี 3 ซอง)

หาซื้อได้ที่ BigC, Tops, Gourmet, Villa, Foodland, Rimping

หรือสามารถสั่งออนไลน์ได้ที่ https://linktr.ee/cotradingth

 

References :

สุชยา เกษจำรัส, รู้หรือไม่ ข้าวโพดคั่ว (Popcorn) เป็นของว่างมีคุณประโยชน์ที่สุด และ 10 เหตุผลที่เราควรกิน, www.beartai.com

Anemone, ชวนมาดู ประโยชน์ของป๊อปคอร์น Snack เก๋ๆ ไม่ได้มีดีแค่ทานเล่น, https://sistacafe.com/

โปรตีนบาร์ อีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับสุขภาพ

โปรตีนบาร์’ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ชาญฉลาดที่จะช่วยให้คุณอิ่มได้ระหว่างวัน ทานได้แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ซึ่งถ้าใครกำลังมองหาอาหารที่ช่วยให้อิ่มนาน มีคุณค่าสารอาหารเหมาะกับร่างกาย หรือกำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายเพื่อฟิตกล้าม การทานโปรตีนบาร์ก็จะช่วยเรื่องดังกล่าวแน่นอน

 

โปรตีนบาร์ คืออะไร?

โปรตีนบาร์ หรือ Protein Bar เป็นอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่มักจะทำมาจากถั่ว, ข้าวโอ๊ตโฮลเกรน, ผลไม้แห้ง, เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ และควีนัว มีวิตามินเสริมในโปรตีนบาร์ประมาณ 15 – 20 ชนิด ซึ่งล้วนแต่เป็นสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย แล้วนำมาอัดเป็นขนมแท่ง เพื่อให้สะดวกต่อการทาน และการพกพาระหว่างวัน เรียกว่าเป็นขนมอัดแท่งที่ทานง่าย แต่ทำให้รู้สึกอิ่มได้ไว เพราะ โปรตีนบาร์ประกอบด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่มีแคลอรี่ต่ำ ที่สำคัญทานแล้วยังไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะเลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล

 

แม้ว่าการทำโปรตีนบาร์จะทำเองได้ไม่ยาก แต่ถ้าใครไม่มีเวลามากพอ ก็สามารถหาซื้อได้ง่ายค่ะ เพราะมีวางขายในตลาดทั่วไป ซึ่งส่วนประกอบในโปรตีนบาร์ที่วางขาย โดยส่วนใหญ่จะทำมาจากโปรตีน 3 ประเภทหลัก ๆ คือ เวย์โปรตีน (whey protein) ที่เป็นโปรตีนคุณภาพสูง สกัดจากนมวัว มีสารอาหารและกรดอะมิโนจำเป็น, เคซีน (casein) ที่เป็นโปรตีนคุณภาพจากนมวัว มีกรดอะมิโนที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่ช่วยเสริมสร้างสร้างกล้ามเนื้อและการเจริญเติบโต และส่วนประกอบอีกหนึ่งอย่างของโปรตีนบาร์ คือ ทำมาจากโปรตีนนมถั่วเหลืองค่ะ และในโปรตีนบาร์ก็จะมีสารยึดเกาะที่ทำมาจากน้ำมันปาล์มซึ่งผ่านกรรมวิธีเติมไฮโดรเจน เพื่อให้ออกมาเป็นบาร์อัดแท่งอย่างสวยงาม

 

โปรตีนบาร์ (Protein Bars) มีประโยชน์อย่างไร?

ช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะมีโปรตีนสูง จึงทำให้อิ่มท้องนาน ลดความอยากอาหาร

ใช้เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างอื่นควบคู่ด้วย

เป็นแหล่งเพิ่มพลังงานสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกาย

เป็นแหล่งโปรตีนช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย

 

ใครบ้างที่เหมาะกับโปรตีนบาร์?

·      ผู้ที่หิวบ่อย อยากให้ท้องอิ่มนาน แต่ไม่ต้องการทานอาหารมากเกินไป

·      ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และควบคุมปริมาณอาหาร

·      ผู้ที่ออกกำลังกาย และผู้ที่ต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ

·      ผู้ที่ต้องการทานขนมของว่าง แต่ไม่ต้องการปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป       

 

วิธีการเลือกโปรตีนบาร์

1.     เลือกโปรตีนบาร์ที่เน้นปริมาณโปรตีนสูง เหมาะกับน้ำหนักตัวและความต้องการของผู้บริโภค ก่อนซื้อจึงควรดูฉลากทุกครั้งว่ามีปริมาณโปรตีนอยู่เท่าไหร่

2.     เลือกส่วนผสมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แม้ว่าโปรตีนบาร์จะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ แต่ก็มีบางยี่ห้อที่มีน้ำตาลผสมอยู่มากกว่าโปรตีน หากทานเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ให้ดูว่ามีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย อาทิ โพแทสเซียม, แคลเซียมหรือไม่ และถ้าต้องการทานเพื่อลดน้ำหนัก ก็ต้องเลือกโปรตีนบาร์ที่มีระดับแคลอรี่ ไขมันและน้ำตาลไม่สูงหรือมากเกินไป

3.     เลือกโปรตีนบาร์ที่รสชาติทานง่าย และมีราคาเหมาะสม

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับโปรตีนบาร์

1.     หากใครต้องการทานโปรตีนบาร์เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ควรทานหลังออกกำลังกายประมาณ 30 – 45 นาที หรือจะเลือกทานตอนเช้า หรือก่อนนอนก็เป็นได้ และโปรตีนบาร์ถือเป็นอาหารเสริมจึงไม่ควรทานเป็นอาหารหลัก

2.     หากใครต้องการทานโปรตีนบาร์เพื่อควบคุมน้ำหนัก แบบควบคุมแคลอรี่ อย่าลืมบวกพลังงานจากอาหารรวมเข้ากับโปรตีนบาร์ไว้ด้วย เพราะโปรตีนบาร์บางชนิดให้พลังงานประมาณ 170 – 340 Kcal

3.     โปรตีนบาร์ต้องมีไขมันต่ำ โดยมีไขมันรวมน้อยกว่า 5 กรัม ต่อ 1 หน่วยบริโภค และควรมีใยอาหาร 3 – 5 กรัม ต่อ 1 หน่วยบริโภค

 

ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมในแต่ละวัน

ปริมาณโปรตีนที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลค่ะ โดยควรเลือกทานโปรตีนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของตัวเองมากที่สุด

·      บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ออกกำลังกายหนัก ควรได้รับปริมาณโปรตีน 0.8 – 1 g. ต่อน้ำหนักตัว 1 kg.

·      ผู้ที่รักสุขภาพ ควรได้รับปริมาณโปรตีน 1.3 – 1.7 g. ต่อน้ำหนักตัว 1 kg.

·      ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ควรได้รับปริมาณโปรตีน 1.4 – 2 g. ต่อน้ำหนักตัว 1 kg.

 

References :

Dearzuffi, 10 ‘โปรตีนบาร์’ ยอดนิยม หุ่นสวยได้ ไม่ต้องกลัวอ้วน ประจำปี 2022, https://topbestbrand.com/โปรตีนบาร์/   

Wheyon, โปรตีนบาร์มีคุณค่าทางโภชนาการและส่งผลดีต่อสุขภาพหรือไม่, https://wheyon.com/blog/protein-bars

อะไรก็ดีทั้งนั้น ถ้ามันทำมาจากช็อกโกแลต !

สำหรับชาวยุโรป สเปนเป็นชาติแรกที่เป็นนักเดินทางผู้แสวงหาความมั่งคั่งในดินแดนใหม่ จนกระทั่งเดินทางมาสู่อเมริกากลาง พวกเขาเอาชนะชาวแอซเทคได้ และได้รู้จักกับรสชาติอันแสนวิเศษของช็อกโกแลต ชาวสเปนจึงนำเอาช็อกโกแลต และเมล็กโกโก้กลับไปสู่ประเทศของตนด้วย ซึ่งช็อกโกแลตกลายเป็นที่นิยมชมชอบในราชสำนัก และภายในช่วงเวลา 100 ปี ความหลงใหลในรสชาติของช็อกโกแลตก็ได้ลุกลามไปทั่วยุโรป

ช็อกโกแลตทุกชนิดบนโลกไม่ว่าจะในรูปแบบ ของแข็ง ของเหลว หรือ แบบผง ล้วนมีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้แทบทั้งสิ้น (ยกเว้น white chocolate) ซึ่งกว่า 50% ของเมล็ดโกโก้ที่เก็บเกี่ยวในแต่ละปีมาจากแอฟริกาตะวันตก ส่วนใหญ่จากประเทศ ไอวอรี่ โคสต์, กาน่า, ไนจีเรีย และ แคเมอรูน นอกเหนือจากทวีปแอฟริกา ก็จะไปทางแถบประเทศ อินโดนิเซีย บราซิล และ เอกวาดอร์ ช็อกโกแลต อุตสาหกรรมช็อกโกแลตในอเมริกาจำกัดความผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้เป็น 3 ประเภท

โกโก้ (cocoa) คือเมล็ดของต้นโกโก้

เนยโกโก้ (cocoa butter) คือไขมันของเมล็ดโกโก้

ช็อกโกแลต (chocolate) คือส่วนผสมของเมล็ดและเนยโกโก้

 

ประเภทของช็อกโกแลต

ประเภทของช็อกโกแลตที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดมีความหลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดาร์กช็อกโกแลต มิลค์ช็อกโกแลต ไวท์ช็อกโกแลต ซึ่งช็อกโกแลตทั้ง 3 ประเภทนี้คือช็อกโกแลตแท้หรือที่เรียกว่าช็อกโกแลตกูแวร์ตูร์ และก็ยังมีช็อกโกแลตชิพ คอมพาวด์ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตเหล่านี้ล้วนมีหน้าที่และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างประเภทช็อกโกแลตมีดังนี้

Dark chocolate มีเนื้อโกโก้ 58% ขึ้นไป สูงสุด 99% รสชาติความขมของช็อกโกแลตจึงขึ้นอยู่กับปริมาณเนื้อโกโก้ที่ผสมอยู่ในนั้น ยิ่งเปอร์เซ็นต์เนื้อโกโก้มากเท่าไร ความขมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การนำดาร์กช็อกโกแลตมาทำขนม สิ่งที่ควรคำนึงคือเปอร์เซ็นต์ความขมของดาร์กช็อกโกแลต ว่าเหมาะกับการนำมาทำขนมประเภทไหน

Milk chocolate มีเนื้อโกโก้ 38% จึงมีรสหวานกว่าดาร์กช็อกโกแลต คนส่วนมากนิยมกิน นำมากินเล่นมากกว่าจะนำมาทำเป็นขนม เพราะความที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำตาลมากกว่าเนื้อโกโก้จึงทำให้กินง่ายกว่าดาร์กช็อกโกแลต

White chocolate โดยทั่วไปไม่นับว่าเป็นช็อกโกแลต เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของเนื้อโกโก้แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว มีเพียงแค่เนยโกโก้ น้ำตาล และนมผงเป็นส่วนประกอบ รสชาติที่ได้จึงไม่มีความขมของเนื้อโกโก้ มีเพียงความหวาน เนื้อที่ขาว และกลิ่นที่หอมเหมือนวานิลลา และที่สำคัญ ไวท์ช็อกโกแลตละลายง่าย แต่ก็ไหม้ง่ายเช่นกัน เพราะมีน้ำตาลอยู่เป็นจำนวนมาก การนำไวท์ช็อกโกแลตมาทำขนมจึงต้องระวังข้อนี้เป็นอย่างมาก 

 

ช็อกโกแลตมีประโยชน์แค่ไหน?

1.     สารฟีนอลในช็อกโกแลตมีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจ ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยป้องกันการอุดตันของลิ่มเลือด

2.     ช่วยให้การทำงานของเยื่อบุผิวดีขึ้น

3.     มีคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรตไขมัน วิตามินเอ ดี เค และธาตุเหล็ก

4.     คาเฟอีนในช็อกโกแลตช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า

5.     กระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินช่วยให้อารมณ์ดี ไม่หงุดหงิดและลดความเครียดลงได้

ดังนั้นใครกำลังมองหาช็อกโกแลตคุณภาพ รสชาติเยี่ยม ทานแล้วได้ประโยชน์ พลาดไม่ได้เลยกับ Chocoville & Chocolike Chocolate Hazelnut Spread มีปริมาณเฮเซลนัท 13% และ 2% เลือกได้เลยตามที่ชอบ ไม่ว่าจะทานเดี่ยวๆ หรือทาขนมปังทานคู่กับกาแฟตอนเช้าก็เข้ากันสุดๆ หรือจะนำไปเป็นส่วนประกอบในการทำขนมช็อกโกแลตชนิดต่างๆ ก็ดีงามเช่นกัน ชอคโกวิลล์ราคาเพียงกระปุกละ 129 บาท ส่วนชอคโกไลก์ราคาเพียงกระปุกละ 95 บาทเท่านั้น (ปริมาณ 350 กรัมทั้งคู่)

หาซื้อได้ที่ BigC, Tops, Gourmet, Villa, Foodland, Rimping, Makro, Lotus's หรือสามารถสั่งออนไลน์ได้ที่ https://linktr.ee/cotradingth

 

References :

ชรินรัตน์ จริงจิตร, ทุกเรื่อง ‘ช็อกโกแลต’ ที่ต้องรู้ก่อนทำขนมแสนอร่อย, https://krua.co

รู้หรือไม่ "CHOCOLATE" มีหลายประเภท มาทำความรู้จักให้มากขึ้นก่อนการทำขนมกัน !!, https://www.sweetscottage.com/

ช็อกโกแลต กินให้ดีก็มีประโยชน์, https://www.anmum.com/th

mellow yellow, เรื่องเล่ารสช็อกโกแลต กับ 10 เรื่องจริงที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน, https://www.marketingoops.com/